อันตรายที่เกิดจากรองเท้าแตะ

         
          มีโอกาสเสี่ยงประสบอันตรายสูงขึ้น เพราะรองเท้าแตะไม่ได้สวมติดแน่นอยู่กับเท้าเหมือนกับรองเท้าหุ้มส้น จึงสามารถเลื่อนหรือหลุดจากเท้าไปได้ง่าย ทำให้คุณมีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดอาการบาดเจ็บกับเท้า และเสี่ยงต่อ อุบัติเหตุต่างๆ อาทิ รองเท้าหลุดขณะข้ามถนน ขณะกำลังขึ้น-ลงบันได ขณะกำลังก้าวขึ้นรถ หรือรองเท้าหลุดขณะขับรถ ซึ่งเชื่อว่าหลายคนคงมีประสบการณ์มาบ้าง
          เปลือยเท้าของคุณมากเกินไป รองเท้าแตะส่วนใหญ่จะมีลักษณะเปลือยเท้า ทำให้สวมใส่ง่าย สบาย ขณะเดียวกันก็ทำให้เท้าสัมผัสกับสิ่งสกปรกได้เต็มที่เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นฝุ่นผง โคลน หรือน้ำขังจากพื้นถนนทำให้อวัยวะที่รองรับน้ำหนักและพาคุณเดินไปไหนมาไหนเสี่ยงต่อแบคทีเรียกว่า 15,000 ชนิด หากมีบาดแผล หรือรอยขีดข่วนเกิดขึ้นที่เท้าก็จะทำให้เกิดโรคต่างๆ ตามมาได้
          รองรับเท้าได้ไม่ดีพอ พื้นรองเท้าแตะมักจะแบนราบ ไม่เข้ากับสรีระตามธรรมชาติของฝ่าเท้า จึงไม่สามารถรองรับฝ่าเท้าได้ดีเพียงพอ อีกทั้งวัสดุส่วนใหญ่ที่ใช้ทำมาจากยางที่ไม่เอื้อให้เกิดความรู้สึกสบายเท้ามากนัก จึงส่งผลให้เกิดอาการปวดฝ่าเท้า และส้นเท้าตามมาได้
          เกิดอาการปวดน่อง พื้นที่ค่อนข้างแข็งของรองเท้าแตะทำให้เกิดแรงกดมากที่ฝ่าเท้าและส้นเท้า นอกจากทำให้ปวดฝ่าเท้าและรู้สึกร้าวที่ส้นแล้ว ยังทำให้เกิดอาการปวดน่องได้ด้วย
          เกิดอาการบาดเจ็บของข้อเท้า สะโพก และหลัง เนื่องจากพื้นรองเท้าแตะไม่สามารถรองรับฝ่าเท้าได้อย่างเหมาะสม การวางเท้าของคุณไม่เป็นไปตามธรรมชาติ ทำให้ต้องเกร็งเท้า หรือเดินด้วยการวางเท้าที่ผิดรูปและเมื่อทำติดต่อกันเป็นเวลานาน ก็ก่อให้เกิดอาการบาดเจ็บของข้อเท้าและสะโพกได้ นอกจากนี้ยังประสบปัญหาปวดหลังได้อีกด้วย
         

สูตร หน้าใส กิ้ง

          1. ความสะอาดเป็นปราการป้องกันสิวด่านแรก ก่อนล้างหน้าสาว ๆ ควรล้างคราบเครื่องสำอางและสิ่งสกปรกที่เผชิญมาตลอดทั้งวัน ด้วยน้ำมันเนื้อเจลที่มี Bi-Continuous ช่วยทำความสะอาดผิวและสารตกค้างในรูขุมขนได้อย่างหมดจด ยิ่งถ้ามีส่วนผสมของ Ac Control Oil และ Tricocaban จะช่วยบรรเทาอาการอักเสบพร้อมคืนความชุ่มชื่นให้แก่ผิวได้ด้วย
          2. ล้างหน้าด้วยสบู่ที่ไม่ทำให้ผิวหน้าแห้งหรือมันจนเกินไป ด้วยเทคนิคง่ายๆ เพียงถูสบู่ลงบนฝ่ามือให้เกิดฟองนุ่มๆ แล้วนำฟองนั้นมาล้างหน้าอย่างเบามือ จำไว้ว่า การล้างหน้าอย่างรุนแรงจะทำให้เกิดอาการระคายเคืองจนสิวลุกลามในที่สุด 
          3. หลังจากล้างหน้าผิวอาจสูญเสียความชุ่มชื้นไปบ้าง ควรเช็ดผิวด้วยโลชั่นเพื่อปรับสมดุลและเรียกความชุ่มชื่นก่อนการบำรุงผิวในขั้นตอนต่อไป
          4. ถึงคราวเติมความชุ่มชื่นและป้องกันสิว ด้วยการเลือกโลชั่นบำรุงผิวชนิด Oil-Free ช่วยให้ผิวเนียนนุ่มและลดการทับถมตัวของเซลล์ผิวเสื่อมสภาพที่จะก่อให้เกิดการแพร่ตัวของแบคทีเรียอันเป็นสาเหตุของสิว
          5. สุดท้ายเพื่อป้องกันไม่ให้สูญเสียความชุ่มชื้นไปกับการนอนในห้องปรับอากาศ แนะนำให้เก็บกักความชุ่มชื้นด้วยแป้งถนอมผิวที่มี sulfer ช่วยลดการก่อตัวของสิวและ Hydrophobic Coating Powder ช่วยดูดซับซีบัมส่วนเกินและเอนไซม์ต่างๆ ที่ออกมาทำร้ายผิวยามหลับไหล

อาหารกับความรัก

          สำหรับผู้หญิงเพศซึ่งละเอียดอ่อนในเรื่องอารมณ์และความรู้สึก ชีวิตในอุดมคติของเธอคือการได้มีคนรักที่ดี และมีความสัมพันธ์ที่ราบรื่น แต่ตอนนี้อุดมคติแบบนี้เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงไปเสียแล้วสิ เมื่อสาวยุคใหม่หลายคนบอกว่า "ตอนนี้ต้องเลือกสุขภาพมาก่อนความรักนะ ถ้าให้เลือกเรื่องอาหารกับความรัก การได้กินอาหารดี ๆ สำคัญกว่าการมีแฟนดี ๆ เสียอีก" .. แหม คุณผู้ชายได้ยินเข้าคงเสียใจแย่เลย
          หลังจากเว็บไซต์ Abe's Market ซึ่งเป็นร้านจำหน่ายอาหารและสินค้าเพื่อสุขภาพ ได้สำรวจความคิดเห็นของคุณผู้หญิงอเมริกันจำนวน 1,500 ราย เกี่ยวกับความสำคัญของการได้รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เปรียบเทียบกับแง่มุมในด้านอื่น ๆ ของชีวิต ก็ได้พบว่าในปัจจุบันผู้หญิงให้ความสำคัญกับการกินอาหารดี ๆ เพื่ออำนวยให้มีสุขภาพและรูปร่างที่ดีมากขึ้นกว่าเดิมในสัดส่วนที่สูงจนผู้ทำการสำรวจเองยังแอบตกใจ
         70% บอกว่า เธอเลือกที่จะให้ลูก ๆ ได้รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ มากกว่าอยากจะให้พวกเขาเรียนได้เกรดดี ๆ
         60% บอกว่าการมีอาหารที่ดีต่อสุขภาพกิน สำคัญกว่าการมีเงินเก็บเยอะ ๆ
         83% เลือกจะมีรูปร่างที่ดีจากการกินอาหารที่มีประโยชน์ มากกว่าที่จะมีเสื้อผ้าสวย ๆ
         และที่น่าตกใจที่สุดคือ 61% ของคุณผู้หญิงบอกว่า การได้กินอาหารดี ๆ เจ๋งกว่าการมีแฟนดี ๆ เสียอีก
          จากผลการสำรวจเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า ผู้หญิงในยุคปัจจุบันหันมาใส่ใจเรื่องสุขภาพมากขึ้น โดยเฉพาะการเลือกรับประทานอาหารดี ๆ มีความสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด ต่างจากสิ่งที่คาดการเอาไว้โดยสิ้นเชิงว่าผู้หญิงจะอยากมีแฟนดี ๆ มีความรักที่ราบรื่นชื่นบาน ได้แต่งตัวสวย ๆ มีลูกเรียนเก่ง ๆ สิ่งเหล่านี้โดนลดความสำคัญลงไปโดยปริยาย .. โดยเฉพาะเรื่องแฟนดี ๆ นี่แหละที่น่าตกใจ หากคราวหน้าถ้าหนุ่ม ๆ จะพาแฟนไปกินข้าวนอกบ้านด้วยกันล่ะก็ อย่าลืมสั่งเมนูเพื่อสุขภาพมาเอาใจเธอด้วยนะ

บันได 5 ขั้น สู่ชีวิตใหม่ ที่มีค่าและเป็นสุข

ขั้นที่ 1 มองตัวเองว่าดีและมีค่าทุกวัน
ในแต่ละวันให้นึกถึงความดี และความโชคดีของตนเอง เริ่มต้นด้วยการตื่นนอนตอนเช้า ให้ยิ้มกับตัวเอง และนึกว่าโชคดีที่ได้ตื่นขึ้นมาแล้ว ให้นึกถึงความดีของตนเอง ที่เคยทำมาแล้วในอดีต (ที่สามารถนึกได้ง่ายๆ) เช่น เคยทำบุญ เคยช่วยคนที่อ่อนแอกว่า เคยสงเคราะห์สัตว์ ฯลฯ คิดว่าตัวเองดี และมีคุณค่าที่ได้เคยทำสิ่งดีๆ และให้นึกซ้ำๆ จะได้เกิดความเชื่อตามที่นึกนั้น คุณก็จะเกิดความอิ่มเอิบใจ และเชื่อว่าตัวเองมีความดี ความเก่ง ตามความเป็นจริงในขณะนั้นด้วย คุณจะเกิดความอยากมีชีวิตอยู่ และสร้างสิ่งที่ดีๆ ให้กับชีวิตต่อไป และต้องอวยพรตัวเองเสมอๆ อย่าแช่ง หรือตำหนิตัวเอง และอย่ารอให้คนอื่นมาชื่นชมคุณ ซึ่งมักจะไม่ได้ดั่งใจ หรือได้มาก็ไม่สมใจ

ขั้นที่ 2 มองคนอื่นดี มองโลกในแง่ดี
ขั้นนี้คุณจะต้องมองว่า ทุกๆ คน มีขีดจำกัดของความสามารถ ความดี ความเก่งกันทุกคน ตามความเป็นจริงของเขา ซึ่งไม่เท่ากัน และไม่เหมือนกันเลย ส่วนความไม่ดี หรือไม่เก่งของเขา (ซึ่งมีกันทุกคน) ปล่อยให้เป็นเรื่องของเขาไป ให้มองเฉพาะส่วนที่ดีของเขาเท่านั้น ถ้าคุณทำได้เช่นนี้ คุณก็จะเป็นคนที่มองอนาคน และชีวิตดี มีความหวังที่ดีในชีวิตตลอดเวลา สองสิ่งนี้ ถ้าคุณทำเป็นนิสัย คุณจะพบว่า โลกนี้มีสิ่งที่ดีๆ และไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคต่างๆ และท้ายที่สุดก็จะกลายเป็นสุขนิยมทั้งชีวิต

ขั้นที่ 3 ทำวันนี้ให้ดีที่สุด
คือการอยู่กับปัจจุบัน ทำกิจกรรมในวันนี้และเวลานี้ให้ดีที่สุด ทำได้แค่ไหนเอาแค่นั้น ไม่ทุกข์ร้อน หรือคาดหวังกับผลลัพธ์ของมัน ไม่ว่าจะสมใจ หรือไม่สมใจก็ตาม จงชื่นชมในความตั้งใจ ทำเต็มความสามารถของตนเอง และคิดต่อว่า ในอนาคตจะต้องทำให้ดีกว่านี้ นอกจากนั้น คุณต้องเลิกจดจำ หรือนึกถึงเรื่องที่ไม่ดีที่เกิดกับคุณในอดีต เพราะการจดจำเรื่องราวที่ไม่ดีในอดีต เท่ากับคุณไปสะกิดแผลในใจ และจะทำให้คุณเจ็บปวดมากยิ่งขึ้น จนส่งผลให้ปัจจุบันคุณไม่มีความสุข และกลัวว่าอนาคตจะเกิดสิ่งที่ไม่ดีซ้ำๆ อีก

ขั้นที่ 4 มีความหวังและเชื่อว่าอนาคตจะดีเสมอ
ความหวัง ความเชื่อ เกิดจากความคิดถึงบ่อยๆ หรือได้ยินบ่อยๆ จงนึกและบอกกับตัวเองเสมอว่า อนาคตจะดีขึ้นอีกเรื่อยๆ จะส่งผลให้เกิดกำลังใจมากขึ้น อยากพบเห็นสิ่งต่างๆ ที่จะเข้ามาในชีวิตโดยไม่กลัว มีอารมณ์ขัน และไม่จริงจังกับชีวิตมากนัก แต่จะมีความหวังที่ดีๆ (Good Hope) อยู่เสมอ แต่อย่ามีความคาดหวัง (Expectation) กับชีวิต เพราะถ้าคาดหวังกับชีวิต เรามักจะกลัว หรือกังวลว่าจะไม่ได้ผลลัพธ์ดังความคาดหวัง หรือเมื่อได้มาแล้วก็มักไม่พอใจ จึงอาจทำให้เกิดทุกข์ได้

ขั้นที่ 5 ปรับปรุงตัวเองเสมอ
โดยปรับปรุง 4 ส่วนที่มีความสำคัญต่อชีวิต คือ

1.
การงาน ให้มีความขยัน อดทน หมั่นหาความรู้ใส่ตัว และกล้าลงมือปฏิบัติในสิ่งที่ควรทำ จะทำให้มีการลงมือทำสิ่งใหม่ๆ ในชีวิตได้เรื่อยๆ และปรากฏเป็นผลงานที่ชัดเจน

2.
ครอบครัว จะต้องยึดหลักที่เป็นมงคลต่อกันคือ ไม่อิจฉา ไม่ระแวง ไม่แข่งขัน ไม่นอกใจ รู้จักการให้และการอภัย มีน้ำใจ และรู้จักเกรงใจกัน

3.
สังคม หมั่นสร้างมิตรเสมอ มีการให้ความสำคัญกัน ให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และพูดจากันแบบปิยะวาจา

4.
ตนเอง ต้องมีการพัฒนาตนเองเสมอ มีความภูมิใจตนเองตามความเป็นจริง สามารถให้กำลังใจตัวเองได้ และมีกำลังใจที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงตนเองไปในทางที่ดีขึ้น

การกำหมัด ช่วยให้ความจำดีขึ้น

จากผลวิจัยล่าสุดของนักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยมอนต์แคลร์สเตท รัฐนิวเจอร์ซี สหรัฐอเมริกา เปิดเผยเมื่อเร็วๆ นี้ ระบุว่า การกำมือแน่นๆ ช่วยให้ความจำดีขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยให้ความสามารถในการระลึกความทรงจำเก่าๆ กลับคืนมาได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย
โดยได้ทำการทดลองกับอาสาสมัครผู้ใหญ่จำนวน 50 คน ให้จดจำคำศัพท์จากลิสต์คำศัพท์จำนวนมากขณะที่ทดลองกำมือไปด้วย พบว่า การกำมือขวาเป็นเวลา 90 วินาทีจะช่วยให้การจดจำสิ่งใหม่ๆ ทำได้ดีขึ้น
ในขณะที่การกำมือซ้ายด้วยเวลาเท่าๆ กันจะช่วยให้การเรียกคืนความทรงจำเก่าๆ ทำได้ดีขึ้น การกำมือขวาก่อนเรียนรู้ข้อมูลต่างๆ และการกำมือซ้ายก่อนจะเรียกคืนความทรงจำนั้นสามารถปรับปรุงระบบความทรงจำได้ โดยปรากฏการณ์ดังกล่าวเป็นการเปลี่ยนการทำงานของสมองชั่วคราว

ทั้งนี้ งานวิจัยก่อนหน้านี้แสดงให้เห็นว่าการกำมือซ้ายและมือขวาสามารถกระตุ้นการทำงานของสมองซีกตรงกันข้ามได้ รวมถึงยังมีความสัมพันธ์กับอารมณ์ด้วย เช่น การกำมือขวาเชื่อมโยงกับความความสุขและความโกรธ ในขณะที่การกำมือซ้ายเชื่อมโยงกับความเศร้าและความวิตกกังวล