การดูแลดวงตาให้ใสปิ้ง

ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ คงจะเป็นความจริง เพราะดวงตาที่เป็นอวัยวะสำคัญของร่างกาย ยังสื่อถึงความสดใส หรือความหม่นหมองของจิตใจได้อีกด้วย ไม่ว่าคุณจะมีความรู้สึกแบบไหน เมื่อสบตากันก็จะเผยความใน แต่ถ้าหากมองเข้าไปแล้วพบว่าดวงตาของคุณนั้น อ่อนโหย โรยแรง ไม่สดใสปิ๊งปั๊ง ก็คงจะแย่ ดังนั้นสุขภาพดวงตาจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องดูแล อย่าได้มองข้าม
ประคบประหงม ดวงตา ก่อน-หลังทำงาน
      ถ้าคุณจะต้องทำงาน หรืออยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ตลอดเวลา ยิ่งสาวๆออฟฟิศแล้วไม่ต้องพูดถึงคุณจะต้องใช้สายตาจ้องมองคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ หรือแม้กระทั่งโทรทัศน์ ฉะนั้นคุณควรจะดูแลดวงตาทั้งก่อนนอนและตื่นนอน
      ก่อนนอนให้นำสำลีชุบน้ำอุ่นแล้วประคบที่เปลือกตาเพื่อให้ดวงตาผ่อนคลายจากความเมื่อยล้า กระตุ้นการหมุนเวียนเลือดบริเวณเปลือกตา
      และหลังจากตื่นนอนใช้ผ้าสะอาดแช่ในน้ำเย็นแล้วมาประคบที่ดวงตาสัก 3 นาที เพื่อให้ดวงตาดูสดใส บริ๊ง บริ๊ง ตลอดวัน
ปกป้องดวงตาให้พ้นจากแสงแดด
      ในช่วงเวลากลางวันเป็นที่รู้กันว่า แสงแดดในบ้านเรานั้น รุนแรงแค่ไหน ดวงตาก็เหมือนผิวกายที่คุณจะต้องปกป้อง เพราะอันตรายจากรังสี UV สามารถทำลายสุขภาพดวงตาของคุณ สาเหตุของการเกิดต้อที่ตา ดังนั้นคุณควรจะเลือกใส่แว่นกันแดดที่ป้องกันแสง UV และทางที่ดีควรจะเป็นแว่นกรอบใหญ่จะช่วยปกป้องผิวรอบดวงตาของคุณด้วย
โยคะดวงตาให้ผ่อนคลาย
      หลังจากที่คุณต้องใช้สายตาทำงานมากๆ ควรจะต้องพักสายตาด้วยการหันมองไปทางอื่นบ้าง ทอดสายตามองไปไกลๆ หรือจะออกมาชมนก ชมไม้ จะช่วยผ่อนคลายสายตาและจิตใจของคุณด้วย และยังมีวิธีทำโยคะดวงตาแบบง่ายๆ ให้ไปลองทำ โดยเริ่มจากกรอกลูกตาไปมาเป็นวงกลมเริ่มจากตาม เข็มนาฬิกาครบ 1 รอบ แล้วกรอกทวนเข็มนาฬิกา แล้วจึงนอนหงายหรือนั่งหลับตาสักพัก ทำซ้ำๆ กันวันละ 2-3 ครั้ง จะช่วยให้ดวงตามีชีวิตชีวาขึ้น
ยืดอายุดวงตาไม่ให้เกิดริ้วรอย
      สาวๆ ส่วนใหญ่จะต้องแต่งหน้า แต่งตากันเป็นประจำทุกวันอยู่แล้ว รู้ไหมว่า การแต่งหน้า  เป็นการเร่งทำให้เกิดถุงต้ตาและริ้วรอยรอบดวงตา แต่จะไม่ให้แต่งก็คงเป็นไปไม่ได้ สิ่งที่ดีที่สุดในการป้องกันไม่ให้เกิด คือ ควรจะต้องช้ครีมบำรุงผิวรอบดวงตาที่บางเบาไม่ก่อสารระคายเคือง และในเวลา Makeup ควรจะใช้แบบบางเบาและเบามือเพื่อไม่เกิดการดึงรั้งผิวบริเวณดวงตา

อันตรายที่เกิดจากรองเท้าแตะ

         
          มีโอกาสเสี่ยงประสบอันตรายสูงขึ้น เพราะรองเท้าแตะไม่ได้สวมติดแน่นอยู่กับเท้าเหมือนกับรองเท้าหุ้มส้น จึงสามารถเลื่อนหรือหลุดจากเท้าไปได้ง่าย ทำให้คุณมีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดอาการบาดเจ็บกับเท้า และเสี่ยงต่อ อุบัติเหตุต่างๆ อาทิ รองเท้าหลุดขณะข้ามถนน ขณะกำลังขึ้น-ลงบันได ขณะกำลังก้าวขึ้นรถ หรือรองเท้าหลุดขณะขับรถ ซึ่งเชื่อว่าหลายคนคงมีประสบการณ์มาบ้าง
          เปลือยเท้าของคุณมากเกินไป รองเท้าแตะส่วนใหญ่จะมีลักษณะเปลือยเท้า ทำให้สวมใส่ง่าย สบาย ขณะเดียวกันก็ทำให้เท้าสัมผัสกับสิ่งสกปรกได้เต็มที่เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นฝุ่นผง โคลน หรือน้ำขังจากพื้นถนนทำให้อวัยวะที่รองรับน้ำหนักและพาคุณเดินไปไหนมาไหนเสี่ยงต่อแบคทีเรียกว่า 15,000 ชนิด หากมีบาดแผล หรือรอยขีดข่วนเกิดขึ้นที่เท้าก็จะทำให้เกิดโรคต่างๆ ตามมาได้
          รองรับเท้าได้ไม่ดีพอ พื้นรองเท้าแตะมักจะแบนราบ ไม่เข้ากับสรีระตามธรรมชาติของฝ่าเท้า จึงไม่สามารถรองรับฝ่าเท้าได้ดีเพียงพอ อีกทั้งวัสดุส่วนใหญ่ที่ใช้ทำมาจากยางที่ไม่เอื้อให้เกิดความรู้สึกสบายเท้ามากนัก จึงส่งผลให้เกิดอาการปวดฝ่าเท้า และส้นเท้าตามมาได้
          เกิดอาการปวดน่อง พื้นที่ค่อนข้างแข็งของรองเท้าแตะทำให้เกิดแรงกดมากที่ฝ่าเท้าและส้นเท้า นอกจากทำให้ปวดฝ่าเท้าและรู้สึกร้าวที่ส้นแล้ว ยังทำให้เกิดอาการปวดน่องได้ด้วย
          เกิดอาการบาดเจ็บของข้อเท้า สะโพก และหลัง เนื่องจากพื้นรองเท้าแตะไม่สามารถรองรับฝ่าเท้าได้อย่างเหมาะสม การวางเท้าของคุณไม่เป็นไปตามธรรมชาติ ทำให้ต้องเกร็งเท้า หรือเดินด้วยการวางเท้าที่ผิดรูปและเมื่อทำติดต่อกันเป็นเวลานาน ก็ก่อให้เกิดอาการบาดเจ็บของข้อเท้าและสะโพกได้ นอกจากนี้ยังประสบปัญหาปวดหลังได้อีกด้วย
         

สูตร หน้าใส กิ้ง

          1. ความสะอาดเป็นปราการป้องกันสิวด่านแรก ก่อนล้างหน้าสาว ๆ ควรล้างคราบเครื่องสำอางและสิ่งสกปรกที่เผชิญมาตลอดทั้งวัน ด้วยน้ำมันเนื้อเจลที่มี Bi-Continuous ช่วยทำความสะอาดผิวและสารตกค้างในรูขุมขนได้อย่างหมดจด ยิ่งถ้ามีส่วนผสมของ Ac Control Oil และ Tricocaban จะช่วยบรรเทาอาการอักเสบพร้อมคืนความชุ่มชื่นให้แก่ผิวได้ด้วย
          2. ล้างหน้าด้วยสบู่ที่ไม่ทำให้ผิวหน้าแห้งหรือมันจนเกินไป ด้วยเทคนิคง่ายๆ เพียงถูสบู่ลงบนฝ่ามือให้เกิดฟองนุ่มๆ แล้วนำฟองนั้นมาล้างหน้าอย่างเบามือ จำไว้ว่า การล้างหน้าอย่างรุนแรงจะทำให้เกิดอาการระคายเคืองจนสิวลุกลามในที่สุด 
          3. หลังจากล้างหน้าผิวอาจสูญเสียความชุ่มชื้นไปบ้าง ควรเช็ดผิวด้วยโลชั่นเพื่อปรับสมดุลและเรียกความชุ่มชื่นก่อนการบำรุงผิวในขั้นตอนต่อไป
          4. ถึงคราวเติมความชุ่มชื่นและป้องกันสิว ด้วยการเลือกโลชั่นบำรุงผิวชนิด Oil-Free ช่วยให้ผิวเนียนนุ่มและลดการทับถมตัวของเซลล์ผิวเสื่อมสภาพที่จะก่อให้เกิดการแพร่ตัวของแบคทีเรียอันเป็นสาเหตุของสิว
          5. สุดท้ายเพื่อป้องกันไม่ให้สูญเสียความชุ่มชื้นไปกับการนอนในห้องปรับอากาศ แนะนำให้เก็บกักความชุ่มชื้นด้วยแป้งถนอมผิวที่มี sulfer ช่วยลดการก่อตัวของสิวและ Hydrophobic Coating Powder ช่วยดูดซับซีบัมส่วนเกินและเอนไซม์ต่างๆ ที่ออกมาทำร้ายผิวยามหลับไหล

อาหารกับความรัก

          สำหรับผู้หญิงเพศซึ่งละเอียดอ่อนในเรื่องอารมณ์และความรู้สึก ชีวิตในอุดมคติของเธอคือการได้มีคนรักที่ดี และมีความสัมพันธ์ที่ราบรื่น แต่ตอนนี้อุดมคติแบบนี้เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงไปเสียแล้วสิ เมื่อสาวยุคใหม่หลายคนบอกว่า "ตอนนี้ต้องเลือกสุขภาพมาก่อนความรักนะ ถ้าให้เลือกเรื่องอาหารกับความรัก การได้กินอาหารดี ๆ สำคัญกว่าการมีแฟนดี ๆ เสียอีก" .. แหม คุณผู้ชายได้ยินเข้าคงเสียใจแย่เลย
          หลังจากเว็บไซต์ Abe's Market ซึ่งเป็นร้านจำหน่ายอาหารและสินค้าเพื่อสุขภาพ ได้สำรวจความคิดเห็นของคุณผู้หญิงอเมริกันจำนวน 1,500 ราย เกี่ยวกับความสำคัญของการได้รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เปรียบเทียบกับแง่มุมในด้านอื่น ๆ ของชีวิต ก็ได้พบว่าในปัจจุบันผู้หญิงให้ความสำคัญกับการกินอาหารดี ๆ เพื่ออำนวยให้มีสุขภาพและรูปร่างที่ดีมากขึ้นกว่าเดิมในสัดส่วนที่สูงจนผู้ทำการสำรวจเองยังแอบตกใจ
         70% บอกว่า เธอเลือกที่จะให้ลูก ๆ ได้รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ มากกว่าอยากจะให้พวกเขาเรียนได้เกรดดี ๆ
         60% บอกว่าการมีอาหารที่ดีต่อสุขภาพกิน สำคัญกว่าการมีเงินเก็บเยอะ ๆ
         83% เลือกจะมีรูปร่างที่ดีจากการกินอาหารที่มีประโยชน์ มากกว่าที่จะมีเสื้อผ้าสวย ๆ
         และที่น่าตกใจที่สุดคือ 61% ของคุณผู้หญิงบอกว่า การได้กินอาหารดี ๆ เจ๋งกว่าการมีแฟนดี ๆ เสียอีก
          จากผลการสำรวจเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า ผู้หญิงในยุคปัจจุบันหันมาใส่ใจเรื่องสุขภาพมากขึ้น โดยเฉพาะการเลือกรับประทานอาหารดี ๆ มีความสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด ต่างจากสิ่งที่คาดการเอาไว้โดยสิ้นเชิงว่าผู้หญิงจะอยากมีแฟนดี ๆ มีความรักที่ราบรื่นชื่นบาน ได้แต่งตัวสวย ๆ มีลูกเรียนเก่ง ๆ สิ่งเหล่านี้โดนลดความสำคัญลงไปโดยปริยาย .. โดยเฉพาะเรื่องแฟนดี ๆ นี่แหละที่น่าตกใจ หากคราวหน้าถ้าหนุ่ม ๆ จะพาแฟนไปกินข้าวนอกบ้านด้วยกันล่ะก็ อย่าลืมสั่งเมนูเพื่อสุขภาพมาเอาใจเธอด้วยนะ

บันได 5 ขั้น สู่ชีวิตใหม่ ที่มีค่าและเป็นสุข

ขั้นที่ 1 มองตัวเองว่าดีและมีค่าทุกวัน
ในแต่ละวันให้นึกถึงความดี และความโชคดีของตนเอง เริ่มต้นด้วยการตื่นนอนตอนเช้า ให้ยิ้มกับตัวเอง และนึกว่าโชคดีที่ได้ตื่นขึ้นมาแล้ว ให้นึกถึงความดีของตนเอง ที่เคยทำมาแล้วในอดีต (ที่สามารถนึกได้ง่ายๆ) เช่น เคยทำบุญ เคยช่วยคนที่อ่อนแอกว่า เคยสงเคราะห์สัตว์ ฯลฯ คิดว่าตัวเองดี และมีคุณค่าที่ได้เคยทำสิ่งดีๆ และให้นึกซ้ำๆ จะได้เกิดความเชื่อตามที่นึกนั้น คุณก็จะเกิดความอิ่มเอิบใจ และเชื่อว่าตัวเองมีความดี ความเก่ง ตามความเป็นจริงในขณะนั้นด้วย คุณจะเกิดความอยากมีชีวิตอยู่ และสร้างสิ่งที่ดีๆ ให้กับชีวิตต่อไป และต้องอวยพรตัวเองเสมอๆ อย่าแช่ง หรือตำหนิตัวเอง และอย่ารอให้คนอื่นมาชื่นชมคุณ ซึ่งมักจะไม่ได้ดั่งใจ หรือได้มาก็ไม่สมใจ

ขั้นที่ 2 มองคนอื่นดี มองโลกในแง่ดี
ขั้นนี้คุณจะต้องมองว่า ทุกๆ คน มีขีดจำกัดของความสามารถ ความดี ความเก่งกันทุกคน ตามความเป็นจริงของเขา ซึ่งไม่เท่ากัน และไม่เหมือนกันเลย ส่วนความไม่ดี หรือไม่เก่งของเขา (ซึ่งมีกันทุกคน) ปล่อยให้เป็นเรื่องของเขาไป ให้มองเฉพาะส่วนที่ดีของเขาเท่านั้น ถ้าคุณทำได้เช่นนี้ คุณก็จะเป็นคนที่มองอนาคน และชีวิตดี มีความหวังที่ดีในชีวิตตลอดเวลา สองสิ่งนี้ ถ้าคุณทำเป็นนิสัย คุณจะพบว่า โลกนี้มีสิ่งที่ดีๆ และไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคต่างๆ และท้ายที่สุดก็จะกลายเป็นสุขนิยมทั้งชีวิต

ขั้นที่ 3 ทำวันนี้ให้ดีที่สุด
คือการอยู่กับปัจจุบัน ทำกิจกรรมในวันนี้และเวลานี้ให้ดีที่สุด ทำได้แค่ไหนเอาแค่นั้น ไม่ทุกข์ร้อน หรือคาดหวังกับผลลัพธ์ของมัน ไม่ว่าจะสมใจ หรือไม่สมใจก็ตาม จงชื่นชมในความตั้งใจ ทำเต็มความสามารถของตนเอง และคิดต่อว่า ในอนาคตจะต้องทำให้ดีกว่านี้ นอกจากนั้น คุณต้องเลิกจดจำ หรือนึกถึงเรื่องที่ไม่ดีที่เกิดกับคุณในอดีต เพราะการจดจำเรื่องราวที่ไม่ดีในอดีต เท่ากับคุณไปสะกิดแผลในใจ และจะทำให้คุณเจ็บปวดมากยิ่งขึ้น จนส่งผลให้ปัจจุบันคุณไม่มีความสุข และกลัวว่าอนาคตจะเกิดสิ่งที่ไม่ดีซ้ำๆ อีก

ขั้นที่ 4 มีความหวังและเชื่อว่าอนาคตจะดีเสมอ
ความหวัง ความเชื่อ เกิดจากความคิดถึงบ่อยๆ หรือได้ยินบ่อยๆ จงนึกและบอกกับตัวเองเสมอว่า อนาคตจะดีขึ้นอีกเรื่อยๆ จะส่งผลให้เกิดกำลังใจมากขึ้น อยากพบเห็นสิ่งต่างๆ ที่จะเข้ามาในชีวิตโดยไม่กลัว มีอารมณ์ขัน และไม่จริงจังกับชีวิตมากนัก แต่จะมีความหวังที่ดีๆ (Good Hope) อยู่เสมอ แต่อย่ามีความคาดหวัง (Expectation) กับชีวิต เพราะถ้าคาดหวังกับชีวิต เรามักจะกลัว หรือกังวลว่าจะไม่ได้ผลลัพธ์ดังความคาดหวัง หรือเมื่อได้มาแล้วก็มักไม่พอใจ จึงอาจทำให้เกิดทุกข์ได้

ขั้นที่ 5 ปรับปรุงตัวเองเสมอ
โดยปรับปรุง 4 ส่วนที่มีความสำคัญต่อชีวิต คือ

1.
การงาน ให้มีความขยัน อดทน หมั่นหาความรู้ใส่ตัว และกล้าลงมือปฏิบัติในสิ่งที่ควรทำ จะทำให้มีการลงมือทำสิ่งใหม่ๆ ในชีวิตได้เรื่อยๆ และปรากฏเป็นผลงานที่ชัดเจน

2.
ครอบครัว จะต้องยึดหลักที่เป็นมงคลต่อกันคือ ไม่อิจฉา ไม่ระแวง ไม่แข่งขัน ไม่นอกใจ รู้จักการให้และการอภัย มีน้ำใจ และรู้จักเกรงใจกัน

3.
สังคม หมั่นสร้างมิตรเสมอ มีการให้ความสำคัญกัน ให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และพูดจากันแบบปิยะวาจา

4.
ตนเอง ต้องมีการพัฒนาตนเองเสมอ มีความภูมิใจตนเองตามความเป็นจริง สามารถให้กำลังใจตัวเองได้ และมีกำลังใจที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงตนเองไปในทางที่ดีขึ้น

การกำหมัด ช่วยให้ความจำดีขึ้น

จากผลวิจัยล่าสุดของนักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยมอนต์แคลร์สเตท รัฐนิวเจอร์ซี สหรัฐอเมริกา เปิดเผยเมื่อเร็วๆ นี้ ระบุว่า การกำมือแน่นๆ ช่วยให้ความจำดีขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยให้ความสามารถในการระลึกความทรงจำเก่าๆ กลับคืนมาได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย
โดยได้ทำการทดลองกับอาสาสมัครผู้ใหญ่จำนวน 50 คน ให้จดจำคำศัพท์จากลิสต์คำศัพท์จำนวนมากขณะที่ทดลองกำมือไปด้วย พบว่า การกำมือขวาเป็นเวลา 90 วินาทีจะช่วยให้การจดจำสิ่งใหม่ๆ ทำได้ดีขึ้น
ในขณะที่การกำมือซ้ายด้วยเวลาเท่าๆ กันจะช่วยให้การเรียกคืนความทรงจำเก่าๆ ทำได้ดีขึ้น การกำมือขวาก่อนเรียนรู้ข้อมูลต่างๆ และการกำมือซ้ายก่อนจะเรียกคืนความทรงจำนั้นสามารถปรับปรุงระบบความทรงจำได้ โดยปรากฏการณ์ดังกล่าวเป็นการเปลี่ยนการทำงานของสมองชั่วคราว

ทั้งนี้ งานวิจัยก่อนหน้านี้แสดงให้เห็นว่าการกำมือซ้ายและมือขวาสามารถกระตุ้นการทำงานของสมองซีกตรงกันข้ามได้ รวมถึงยังมีความสัมพันธ์กับอารมณ์ด้วย เช่น การกำมือขวาเชื่อมโยงกับความความสุขและความโกรธ ในขณะที่การกำมือซ้ายเชื่อมโยงกับความเศร้าและความวิตกกังวล

นาฬิกาชีวิต


เวลา 01.00-03.000   เป็นช่วงเวลาของตับ
ควรนอนหลับพักผ่อน ถ้าใครนอนหลับได้ดีเป็นประจำในช่วงเวลานี้ ตับจะหลั่ง สารมีราโทนิน (meratonine)  เพื่อฆ่าเชื้อโรค ทำให้หน้าอ่อนกว่าวัย นอกจากร่างกายจะหลั่งมีราโทนินประจำแล้ว ยังหลั่งสารเอนโดรฟิน ( endorphin)  ออกมาด้วยจึงไม่ควรกินอาหาร เพราะจะทำให้ตับทำงานหนักและเสื่อมเร็ว หน้าที่หลักของตับคือ ขจัดสารพิษในร่างกาย ส่วนหน้าที่รองคือ ช่วยไตในการดูแลผม ขน เล็บ ถ้าตับมีปัญหา ผม ขน เล็บจะไม่สวย ช่วยกระเพาะย่อยอาหาร ถ้ากินบ่อยๆ จะทำให้ตับทำงานหนัก ตับจะหลั่งน้ำย่อยออกมามาก จึงไม่ได้ทำหน้าที่หลัก เป็นเหตุให้สารพาตกค้างในตับ

เวลา 03.00-05.00 น. เป็นช่วงเวลาของปอด
จึงควรตื่นนอนเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์ และรับแสงแดดในยามเช้า ผู้ที่ตื่นนอนช่วงนี้เป็นประจำ ปอดจะดี ผิวดีขึ้น และจะเป็นคนที่มีอำนาจในตัว

เวลา 05.00-07.00 น. เป็นช่วงเวลาของลำไส้ใหญ่
ควรขับถ่ายอุจจาระทำให้เป็นนิสัยทุกเช้า ถ้าไม่ถ่ายให้ใช้วิธีกดจุดที่ตำแหน่งสองข้างจมูก ถ้ายังไม่ถ่ายให้ดื่มน้ำอุ่น 2 แก้ว ถ้ายังไม่ถ่ายให้ดื่มน้ำผึ้งผสมมะนาว โดยใช้ น้ำ 1 แก้ว + น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ + น้ำมะนาว 4-5 ลูก ทำดื่มจนกว่าจะถ่าย หรือบริหารโดยยืนตรง หายใจเข้า แล้วก้มลงพร้อมทั้งหายใจออก เอามือท้าวเข่าแขม่วท้องจนเหมือนว่าหน้าท้องไปติดสันหลัง

เวลา 07.00-09.00 น.  เป็น ช่วงเวลาของกระเพาะอาหาร
กระเพาะอาหารจะทำงาน ถ้ากินอาหารในช่วงเวลานี้ทุกวัน กระเพาะอาหารจะแข็งแรง ถ้าปล่อยให้กระเพาะอาหารอ่อนแอ จะส่งผลให้เป็นคนตัดสินใจช้าขี้กังวล ขาไม่ค่อยมีแรง ปวดเข่า หน้าแก่เร็วกว่าวัย

เวลา 09.00-11.00 น.  เป็นช่วงเวลาของม้าม
ม้ามจะอยู่ชายโครงด้านซ้าย มีหน้าที่ควบคุมเม็ดเลือด สร้างน้ำเหลือง ควบคุมไขมัน คนที่ปวดศีรษะบ่อยมักมาจากความผิดปกติของม้าม อาการเจ็บชายโครงสาเหตุมาจาก ม้ามกับตับ
- ม้ามโต ม้ามจะไปเบียดปอด ทำให้เหนื่อยง่าย ผอมเหลือง ตาเหลือง สร้างเม็ดเลือดขาวได้น้อย
- ม้ามชื้น อาหารและน้ำที่กินเข้าไปจะแปรสภาพเป็นไขมันจึงทำให้อ้วนง่าย
ผู้ที่มักนอนหลับในช่วงเวลา 09.00-11.00 น.ม้ามจะอ่อนแอ นอกจากนี้ม้ามยังโยงถึงริมฝีปาก ผู้ที่พูดบ่อยๆ หรือพูดเก่งๆ ม้ามจะชื้น จึงควรพูดน้อยกินน้อย ม้ามจึงแข็งแรง

เวลา 11.00-13.00 น. เป็นช่วงเวลาของหัวใจ
หัวใจทำงานหนักช่วงเวลานี้ จึงควรหลีกเลี่ยงความเครียด เหตุที่ทำให้ต้องใช้ความคิดหนัก และหาทางระงับอารมณ์ตื่นเต้น หรืออาการตกใจให้ได้

เวลา 15.00-17.00 น. เป็นช่วงเวลาของกระเพาะปัสสาวะ
แนวพลังของกระเพาะปัสสาวะเริ่มจาก หัวตา > ผ่านหน้าผาก   >   ศีรษะ   >  ท้ายทอย   >  แผ่นหลังทั้งแผ่น    >  สะโพก  >   ด้านหลังขา  >   หัวเข่า   >  น่อง  >  ส้นเท้านิ้วก้อย   กระเพาะปัสสาวะ จะเกี่ยวข้องกับระบบความจำ ไทรอยด์ และระบบเพศทั้งหมด
ช่วงเวลานี้ควรทำให้เหงื่อออก  อาจออก กำลังกายหรืออบตัว กระเพาะปัสสาวะจะได้แข็งแรง ข้อควรระวังถ้าเหงื่อมีโซเดียมปนออกมามากไตจะวาย แต่ถ้ามีโปตัสเซียมปนออกมามาก หัวใจจะวาย แก้ไขเรื่องหัวใจวายด้วยการให้ดื่มน้ำส้ม หรือน้ำมะนาวเพื่อเติมโปตัสเซียม (ผู้ที่มีโปตัสเซียมน้อยต้องระวังเรื่องการฉีดยาชา เพราะยาชา จะทำให้โปตัสเซียมลดลงอย่างรวดเร็ว หัวใจอาจวายได้ง่าย
การอั้นปัสสาวะบ่อยๆ ปัสสาวะจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้เหงื่อที่ออกมามีกลิ่นเหม็นเหมือนปัสสาวะ 

เวลา 17.00-19.00 น. เป็นช่วงเวลาของไต 
จึงควรทำใจให้สดชื่นไม่ง่วงเหงาหาวนอนในช่วงเวลานี้ ผู้ใดมีอาหารง่วงนอนช่วงเวลานี้ แสดงว่ามีปัญหาเรื่องไตเสื่อม ถ้านอนหลับแล้วเพ้อ แสดงว่าอาหารหนักมาก
- ไตซ้าย  จะคุมสมองด้านขวา ซึ่งควบคุมด้านความคิดสร้างสรรค์ อารมณ์สุนทรี  รักสวยรักงาม  ชอบแต่งตัว ถ้าไตซ้ายมีปัญหา อารมณ์รักสวยรักงามจะหมดไป กลายเป็นคนปล่อยเนื้อปล่อยตัว และเป็นคนขี้ร้อน
ไตขวา จะคุมสมองด้านซ้าย ซึ่งควบคุมความจำ ถ้าไตขวามีปัญหา ความจำจะเสื่อม และเป็นคนขี้หนาว (ผู้ที่ไตแข็งแรงจะเป็นคนทีอายุยืน เป็นคนกล้า)
ถ้าลำไส้เล็กมีไขมันเกาะมาก อาหารที่อยู่ในรูปของสารละลายจะผ่านลำไส้เล็กไม่ได้ จึงตกเป็นภาระของไต เป็นผลให้ไตทำงานหนัก จึงกลายเป็นโรคไต ผู้ที่เป็นโรคไต สมองจะเสื่อม ปวดหลัง เป็นหวัดง่าย มีเสลดในคอ
การดูแลคือ ตอนเช้าอาบน้ำเย็น ตอนเย็นให้อาบน้ำอุ่น กรณีที่อาบน้ำไม่ได้ ให้ใช้วิธีแช่เท้า แต่น้ำควรใส่สมุนไพรที่ถูกกับโฉลกของผู้ป่วย เช่น ขิง ข่า กระชาย  อย่างใดอย่างหนึ่ง

เวลา 19.00-21.00 น. เป็นช่วงเวลาของเยื่อหุ้มหัวใจ
ช่วงเวลานี้ควรจะสวดมนต์ ทำสมาธิ ปัญหาเกี่ยวกับเยื่อหุ้มหัวใจ คือหัวใจโต  หัวใจรั่ว  เส้นโลหิตหัวใจตีบ ดังนั้นผู้ป่วยต้องระวังเรื่องตื่นเต้น ดีใจ  การหัวเราะ กรณีเส้นเลือดขอด ต้องดูและเยื่อหุ้มหัวใจให้แข็งแรง ควรใส่เสื้อผ้าชุดสีดำ เทา เอาเท้าแช่ในน้ำอุ่น

เวลา 21.00-23.00 น. เป็นช่วงเวลาที่ต้องทำให้ร่างกายอบอุ่น
จึงห้ามอาบน้ำเย็นในช่วงนี้ เพราะจะทำให้เจ็บป่วยได้ง่าย อย่าไปตากลม เพราะเป็นช่วงที่ลมเป็นพิษ

เวลา 23.00-01.00 น. เป็นช่วงเวลาของถุงน้ำดี
(ถุงน้ำดีเป็นถุงสำรองเก็บน้ำย่อยที่ออกมาจากตับ )อวัยวะใดในร่างกายเมื่อขาดน้ำ จะมาดึงน้ำจากถุงน้ำดี ทำให้ถุงน้ำดีข้น เป็นผลให้อารมณ์ฉุนเฉียว สายตาเสื่อม เหงือกจะบวม ปวดฟัน นอนไม่หลับ ตื่นกลางดึก หรือตอนเช้าจะจาม (ถุงน้ำดีจะโยงไปถึงปอด)   จะปวดศีรษะข้างเดียวหรือสองข้าง โดยไม่ทราบสาเหตุ  (ผู้ที่ตัดถุงน้ำดีออก เมื่อตรวจด้วยลูกดิ่งจะพบว่า ถุงน้ำดีข้น มักมีอาการปวดขา ปวดสะโพก)
ทางแก้คือ อย่าใส่ชุดนอนที่เป็นผ้าใยสังเคราะห์ ไนล่อน ชุดนอนที่ทำจากใยสังเคราะห์จะไปดูดน้ำในร่างกาย ควรสวมชุดผ้าฝ้าย ดีที่สุด ไม่ควรนอนบนที่นอนสูงๆ เพราะทำให้เสียน้ำในร่างกาย ดังนั้นควรดื่มน้ำก่อนเข้านอน หรือก่อนเวลา 23 น.

อยากมีผมสวย ต้องทานอาหาร 3 อย่างนี้

         

         เกิดเป็นผู้หญิงจะมีผมชี้ฟูดูไร้น้ำหนักก็คงไม่ใช่เรื่อง ดังนั้นการบำรุงผมให้สวยดูสุขภาพดีเป็นประจำจึงเป็นสิ่งที่คุณผู้หญิง ทั้งหลายเลี่ยงไม่ได้ แต่ในยุคสมัยข้าวยากหมากแพงอย่างนี้ จะให้ทำทรีทเม้นท์บ่อย ๆ ก็คงเป็นการเสียเวลาและสิ้นเปลืองเกินไป เพราะฉะนั้นเรามาบำรุงผมจากภายในด้วยการกินอาหาร 3 อย่างนี้ช่วยด้วยอีกแรงดีกว่าค่ะ

1. ไข่
         โปรตีนเป็นสารอาหารสำคัญต่อผมอย่างยิ่ง เพราะเป็นสารอาหารที่ช่วยให้ผมมีสุขภาพดี ดังนั้นหากอยากมีผมสลวย ดูมีน้ำหนักก็ควรจะรับประทานไข่ซึ่งอุดมไปด้วยโปรตีนเป็นประจำ เพื่อให้ร่างกายรวมไปถึงผมได้รับโปรตีนอย่างพอเพียง เอาไว้ไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอต่าง ๆ เพราะลำพังแค่แชมพูกับครีมนวดผมที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ก็ไม่ได้ให้โปรตีนกับผมหรอกนะจะบอกให้

2. ปลาแซลมอน
          นอกจากโปรตีนที่มีในไข่แล้ว ในปลาแซลมอนยังอุดมไปด้วยวิตามินบี2 และ บี12 ซึ่งเป็นสุดยอดอาหารผมที่จะช่วยทำให้คุณผู้หญิงมีผมนุ่มสวยเงางามและแข็งแรงมากยิ่งขึ้น ดังนั้นคุณผู้หญิงท่านไหนที่ชอบทานอาหารญี่ปุ่น ก็ลองทานเมนูที่มีปลาแซลมอนเยอะๆ ดูนะคะ

3. ถั่ว
          คุณผู้หญิงคงจะทราบกันดีอยู่แล้วว่าถั่วอุดมไปด้วยโปรตีนและแร่ธาตุที่ดีต่อสุขภาพ อย่างธาตุเหล็กและกรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งเป็นอาหารผมชั้นเยี่ยม ซึ่งจะทำให้ผมมีสุขภาพแข็งแรงและสวยอย่างที่คุณผู้หญิงต้องการ ดังนั้นควรหารของวางทานเล่นเป็นจำพวกถั่วทานเล่นติดโต๊ะที่ทำงานไว้ด้วยก็ได้จะได้มีของเล่นกินแก้ง่วง แถมกินถั่วยังไม่ทำให้อ้วยด้วยนะคะ

99 สิ่งที่อยากให้ทุกคนมี

1.  เอาใจเขามาใส่ใจเรา
2.  เชื่อมั่นตัวเอง
3.  อย่ามองคนที่หน้าตา
4.  กล้าคิด พูด และทำ
5.  เมื่อมีเรื่องจงหมั่นปรึกษาผู้อื่น
6.  และจงเป็นที่ปรึกษาให้ผู้อื่นด้วย
7.  อย่าโกหกกับเรื่องที่คุณคิดว่าผิด
8.  ไว้ใจบุคคลที่สมควรไว้ใจ
9.  เปิดใจให้กว้าง
10.  มองการณ์ไกล
11.  วางแผนอนาคต
12.  อย่าโทษตัวเอง
13.  มีความรับผิดชอบ
14.  ตอบแทนเมื่อได้รับ
15.  ให้ในสิ่งที่ผู้อื่นอยากได้หรือไม่มี
16.  อย่าใช้อารมณ์ แต่จงใช้ความคิด
17.  คิดถึงส่วนรวมให้มาก
18.  ดูแลตัวเองให้เป็น
19.  รู้ผิด ชอบ ชั่ว ดี
20.  อย่าปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเสียเปล่า
21.  อย่ารู้ค่าสิ่งที่อยู่กับเราต่อเมื่อเราสูญเสียมันไปแล้ว
22.  จงรู้ตัวอยู่เสมอว่าตอนนี้กำลังทำอะไร
23.  ที่ทำอยู่มีผลดี / เสีย มีประโยชน์ / ไร้ประโยชน์
24.  อย่าวัวหายแล้วล้อมคอก
25.  ให้อภัยแก่ตนเอง และ ผู้อื่น
26.  อย่าเก็บอดีตมาทำร้ายตัวเอง แต่จงหัดที่จะเรียนรู้จากมัน
27.  คนไม่ผิดคือคนที่ไม่เคยทำอะไร
28.  ได้หน้าอย่าลืมหลัง
29.  คุณไม่ใช่พระเจ้า อย่าคิดซ่อมความรู้สึกที่เสียไปแล้ว
แต่จงวางแผนที่จะดูแลไม่ให้มันเสีย
30.  อย่าอ่านข้อความที่มีประโยชน์ผ่านๆ
31.  อ่านแล้วคิด คิดแล้วทำ หมั่นพัฒนาตนเอง
32.  รู้จักแบ่งเวลาและหน้าที่
33.  ทำประโยชน์ให้แก่ส่วนรวมบ้าง
34.  อย่าเห็นแก่ตัว
35.  อย่ารอคอยในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง
36.  อย่ากลัวในสิ่งที่ตนสามารถสู้ หรือ เปลี่ยนแปลงมันได้
37.  กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญ หัดเติมให้คนอื่นแล้วเขาจะกลับมาเติมให้คุณเอง
38.  เพื่อนไม่จำเป็นต้องเจอหน้ากันก็คุยกันได้
39.  อย่าคิดว่าเขาไม่โทรมา ถ้าคุณก็ไม่เคยโทรหาเขาเช่นกัน
40.  จงเป็นฝ่ายให้มากกว่าฝ่ายรับ
41.  ดูแลบิดา มารดาให้ดี คุณมีโอกาสรีบทำซะก่อนจะไม่มี
42.  อย่าเสียใจกับสิ่งที่เลวร้ายหรือสูญเสียไปแล้ว
มันไม่กลับมาแต่คุณสามารถทำมันใหม่ หรือเรียนรู้จากมันได้
43.  คำพูดเมื่อพูดออกไปแล้ว ไม่สามารถเรียกกลับได้ ดังนั้นคิดก่อนพูด
44.  อย่าทุ่มเทกับสิ่งที่ไร้ประโยชน์
45.  คำพูดให้กำลังใจคนได้ ปลอบใจได้ ยุให้ทะเลาะกันได้
ทำให้เสียความรู้สึกได้ จงรู้ที่จะพูด
46.  ชีวิตไม่ใช่เกม พลาดแล้วเริ่มใหม่หรือกดโหลดได้
47.  หาจุดหมายให้กับชีวิต
48.  เครียดได้ แต่เครียดให้เป็น
49.  ถ้างง เขียนหนังสือได้แต่เขียนให้เป็นภาษา
50.  วันๆหนึ่งคุณทำอะไรไปบ้างที่ไม่ใช่กิน นอน เล่น
51.  ไม่มีหมอคนไหนรอให้คนไข้จะตายแล้วค่อยช่วยหรอกนะ
52.  เพื่อนคุณก็เช่นกันอย่าปล่อยให้เขา
เครียดจนจะตายแล้วถึงไปถามหรือดูแล
53.  ร่างกายไม่ใช่เครื่องจักร ให้มันพักผ่อนซะบ้าง
54.  คุณซื้อนาฬิกาได้แต่คุณซื้อเวลาไม่ได้
55.  ตอนนี้มีใครคอยคุณอยู่รึเปล่า  ถ้ามีกลับไปหาซะ
56.  ตอนนี้คุณคอยใครอยู่รึเปล่า  จะคอยอย่างนี้ไปถึงเมื่อไหร่  ทำอะไรซะบ้าง
57.  อย่ากล่าวคำว่าขอโทษบ่อย มีอะไรดีๆตั้งหลายอย่างที่ทำแล้วไม่ต้องตามขอโทษ
58.  ตอนคุณลำบากคุณคิดถึงใคร  คุณอยากให้ใครช่วยเหลือ
59.  ตอนนี้คุณสบายอยู่  แล้วคนที่คุณเคยขอความช่วยเหลือล่ะ  หมดประโยชน์
60.  ไม่ใช่  แล้วไง  ต้องให้บอกต่อมั้ย
61.  ทำอะไรก็ได้ให้ตัวเองมีความสุข แต่อย่าบนทุกข์ของผู้อื่น
62.  ตอนที่คุณกำลังอ่านประโยคนี้ จงรู้ไว้ซะว่าคุณเป็นมนุษย์และยังมีชีวิตอยู่
63.  ใครเป็นคนทำให้คุณมีชีวิต  ตอบแทนเขาบ้างหรือยัง
64.  ไม่ต้องรอให้ถึงวันพิเศษใดๆ แค่เข้าไปบอกว่ารักเขาก็เพียงพอแล้ว
65.  อย่ารอให้ถึงวันเกิดเพื่อน ถึงจะได้คุยกันหรือให้ของขวัญกัน
66.  ไม่มีกฎหมายใดห้ามให้ของขวัญในวันธรรมดา
67.  ถ้าเป็นคุณอยู่ดีๆมีเพื่อนเอาขนมมาให้ คุณจะรู้สึกดีไหม  หรือว่าดูที่ราคาขนม
68.  เหล้าทำให้คุณลืมได้ตอนเมาแอ๋ แต่เพื่อนแท้ทำให้คุณลืมเรื่องร้ายๆได้ตลอดชีวิต
69.  อย่าคิดว่าตนเองไม่มีเพื่อนหรือไม่มีใคร
อย่างน้อยๆถ้าคุณได้อ่านข้อความนี้ จงรู้ไว้ว่าคุณยังมีผู้เขียนอีกคน
70.  อย่าคิดว่าตนเป็นคนที่โชคร้ายที่สุด และอย่าคิดว่าตนเองเป็นคนที่โชคดีที่สุด
71.  อย่าพูดคำว่าไม่มาเป็นเราไม่รู้หรอก ถ้าคุณก็ไม่รู้เรื่องของเขาเช่นกัน
72.  เหนื่อยแล้วพักซะเถอะ อย่าฝืนอ่านต่อเลย คนเขียนดีใจมากแล้วที่คุณอ่านถึงตรงนี้
73.  อย่าคิดว่าคนดีไม่มีในสังคม
เพราะคุณก็เป็นคนเพียงแต่คุณยังไม่ได้ทำอะไรบางอย่าง
74.  ปริศนาในเกมคุณแก้ได้ แล้วทำไมปริศนาในชีวิตคุณแก้ไม่ได้
ในเมื่อบทสรุปก็อยู่ในตัวคุณ
75.  คุณมองเพชรมองที่ความงามภายใน หรือป้ายราคาข้างนอก
76.  ถ้าคุณกินอาหารเหลือ ลองนึกถึงเด็กที่ไม่มีอันจะกิน
77.  มีเรื่องราวอีกมากมาย ที่ไม่ได้เขียนอยู่ในหนังสือลองค้นคว้าดูจะรู้
78.  ลูกธนูที่ถูกปล่อยออกจากหน้าไม้ อันตรายน้อยกว่าหอกที่แทงมาจากข้างหลัง
79.  การถูกหักหลังเป็นสิ่งที่เจ็บปวด อย่าให้มันเกิด
80.  ทำยังไง  ต้องขโมยขึ้นบ้านก่อนถึงไปดูแลรั้วบ้านใช่มั้ย
81.  ทำใจกับสิ่งต่างๆล่วงหน้าไว้บ้างก็ดี
82.  จะยกตัวอย่างให้ สมมุติคนที่คุณรักจากไปตอนนี้
คุณคิดว่าคุณทำอะไรให้เขาบ้างหรือยัง
83.  อย่าตอบว่าทำยังไงก็ตอบแทนไม่หมด ขอถามว่าทำรึยัง 
ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่
84.  คุณทำใจได้แล้วหรือถ้ามันเกิดอะไรขึ้น  คุณไปร้องไห้ข้างโลงศพ
ยังไงเขาก็ไม่ฟื้นหรือได้ยินหรอกนะ
85.  ตัวคุณมีคุณค่าอยู่แล้ว อยู่ที่คุณรู้จักดึงมันออกมาใช้ได้รึเปล่า 
86.  หัดคุยกับตัวเองซะบ้าง แล้วจะรู้ว่ามีอะไรอีกมากที่คุณไม่รู้
87.  ร่างกายใช้มากี่ปีแล้ว เคยดูแลมันบ้างรึเปล่า  หรือเอาไว้เพื่อให้วิญญาณมีที่สิงสถิตย์
88.  การใส่เสื้อสวยๆ ไม่ช่วยให้ร่างกายดีขึ้นหรอกนะ ที่ดีขึ้นคือบุคลิกต่างหาก
89.  หาความสุขของตัวเองให้เจอ หัดมีความสุขซะบ้าง อดีตเราลืมไม่ได้แต่เลิกคิดได้
90.  ลองทำอะไรบ้าๆดูบ้างก็ดี อย่ายึดติดกับอะไรนักเลย
91.  ผู้เขียนไม่ใช่คนรู้อะไรมากมาย ไม่ได้มาโชว์ว่าตัวเองอวดรู้ แต่อยากให้คุณได้รู้อะไรไว้บ้างก็ดี
92.  สิ่งที่คุณปล่อยผ่านๆไปในชีวิต หรือ เรื่องที่คุณเห็นว่าไม่สำคัญ
กลับมาดูแลตรงนั้นบ้างก็ดี
93.  อย่าไว้ใจใครเกินไป ไม่ได้สอนให้ระแวงไม่ไว้ใจใคร แต่ระวังไว้บ้างก็ดี
94.  อย่าตามเพื่อนนัก กินเหล้ากิน เล่นไพ่เล่น เที่ยวหญิงเที่ยว
95.  ยาเสพย์ติดทุกชนิด อย่าคิดจะลองเด็ดขาด
96.  อย่าทำตามเพราะเพื่อนทำกันหมด
ร่างกายเขากะร่างกายเราคนละร่างกายกัน แน่นอนจิตใจก็เหมือนกัน
97.  ผู้ชายยังไงก็คือผู้ชาย ผู้หญิงก็คือผู้หญิง
98.  บางครั้งการอยู่คนเดียวก็ไม่ได้เลวร้ายเสมอไป
99.  จงทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพื่อตัวเราเอง คนที่เรารัก และคนที่อยู่รอบกายเรา

น้ำมะพร้าวช่วยอะไรคุณผู้หญิง


คุณรู้หรือไม่ว่า ! น้ำมะพร้าวอุดมด้วยคุณค่าทางอาหารมากมาย อันประกอบด้วย โพแทสเซียม เหล็ก โซเดียม แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส ทองแดง กรดอะมิโน กรดอินทรีย์ และวิตามินบีซึ่งจะช่วยในการขับล้างสารพิษออกจากร่างกายของเรา

ทีนี้เรามาดูกันว่าน้ำมะพร้าวช่วยอะไรคุณผู้หญิงอย่างไรบ้าง
   1. สำหรับผู้หญิงโก๊ะๆที่ชอบขี้หลงขี้ลืมบ่อยๆ
        - น้ำมะพร้าวจะช่วยชะลอการเกิดโรคอัลไซเมอร์หรือความจำเสื่อมโดยเฉพาะในสตรีวัยทอง
   2. สำหรับผู้หญิงที่ชอบซุ่มซ่าม หรือไม่ระมัดระวัง
        - น้ำมะพร้าวจะช่วยสมานแผล ซึ่งจะไม่ทำให้เกิดรอยแผลเป็น
   3. สำหรับคุณผู้หญิงที่รักสวยรักงาม
        - น้ำมะพร้าวช่วยทำให้ผิวพรรณสวยงาม ช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัยอันควร
   4. สำหรับคุณผู้หญิงที่รักการออกกำลังกาย
        - น้ำมะพร้าวจะช่วยบรรเทาความอ่อนเพลียหลังการออกกำลังกาย
   5. สำหรับคุณผู้หญิงที่รักการดื่ม
        - น้ำมะพร้าวจะช่วยลดอาการมึนเมาหลังการดื่ม
   6. สำหรับคุณแม่ที่ตั้งท้อง
        - น้ำมะพร้าวจะทําให้การสร้างไขตัวเด็กได้สีค่อนข้างขาว ซึ่งจะทำให้เห็นว่าเด็กที่คลอดออกมานั้นมีตัวที่สะอาด
   7. สำหรับคุณผู้หญิงที่มีประจำเดือน
        - อาจจะเคยได้ยินกันมาว่าเวลาที่คุณผู้หญิงมีประจำเดือนห้ามรับประทานน้ำมะพร้าว ในความเป็นจริงแล้วการรับประทานหรือไม่รับประทานนั้นไม่ได้ส่งผลเสียกับทุกคน ในความเป็นจริงก็คือน้ำมะพร้าวจะมีสารอาหารแบบเดียวกับฮอร์โมนเพศซึ่งอาจจะมีผลต่อประจำเดือนได้กับบางคนซึ่งถึงขั้นอาจทำให้ประจำเดือนหยุด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำมะพร้าวที่ดื่ม

สมองผู้หญิง


(ความลับ)สมองผู้หญิง 

         1. ขนาดของสมองส่วนหน้า (Frontal Lobe) และสมองส่วนอารมณ์ (Temporal Lobe) ซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับการแก้ปัญหาและการตอบสนองทางอารมณ์ของผู้หญิงใหญ่กว่าผู้ชาย จึงทำให้ผู้หญิงแก้ปัญหาต่าง ๆ และมีทักษะในการใช้ภาษาและอารมณ์ได้ดีกว่า

         2. สมองของผู้หญิงมีการเชื่อมต่อระหว่างสมองสองซีกอยู่เกือบตลอดเวลา ทำให้ผู้หญิงถนัดนักเรื่องการทำหลาย ๆ อย่างพร้อมกัน
         3. สมองส่วนลิมบิก (Limbic Brain) ของผู้หญิงจะมีหยักลึกใหญ่ ส่งผลให้ผู้หญิงมีความรู้สึกที่ละเอียดจับอารมณ์และความรู้สึกได้เร็วกว่า แสดงอารมณ์ได้ละเอียดลออ จึงมีความสามารถในการสร้างความสัมพันธ์หรือประสานความสัมพันธ์ได้ดีกว่า

         4. ผู้หญิงจะใช้สมองทั้งสองซีกในเรื่องการสื่อสารและภาษา ดังนั้น ถ้าสมองซีกซ้ายที่ปกติเป็นส่วนที่ดูแลเรื่องภาษาถูกทำลาย ผู้หญิงก็ยังจะสามารถใช้สมองซีกขวาในการสื่อสารได้
         5. ผู้หญิงนั้นมีคอร์ปัส คอลโลสสัม (Corpus Callosum) เป็นส่วนที่เส้นประสาทสมองมีการเชื่อมต่อกัน มีขนาดใหญ่กว่าผู้ชาย จึงใช้สมองทั้ง 2 ซีกประสานการทำงานได้ดี ทำให้ผู้หญิงจัดการความคิดของตัวเองได้รวดเร็วกว่า
         6. ผู้หญิงจะมีสมองส่วนฮิปโปแคมปัส (Hippocampus) ขนาดใหญ่กว่าผู้ชาย ทำให้ผู้หญิงจดจำเรื่องราวต่าง ๆ ได้มากกว่า และสามารถระลึกถึงเหตุการณ์เก่า ๆ ที่สะเทือนจิตใจได้ดีกว่าผู้ชาย
         7. ในสภาวะปกติสมองผู้หญิงจะหลั่งเซโรโทนิน (Serotonin) เป็นสารที่ช่วยในการควบคุมอารมณ์ยับยั้งความก้าวร้าวมากกว่าผู้ชาย แต่เมื่อเกิดความเครียดสมองผู้หญิงจะหลั่งสารนี้ลดลง ทำให้ควบคุมอารมณ์ไม่ค่อยได้ใจร้อน และวิตกกังวลง่าย
         8. สมองของผู้หญิงขณะมีประจำเดือนจะเปลี่ยนแปลงทุก ๆ วัน และบางบริเวณของสมองอาจเปลี่ยนแปลงได้ถึง 25 เปอร์เซ็นต์ในหนึ่งเดือน บางครั้งผู้หญิงที่มีความมั่นใจ มีความสุข และทำงานเก่ง ก็อาจเปลี่ยนเป็นคนที่มองโลกในแง่ร้าย ในช่วงก่อนและระหว่างมีประจำเดือนได้

         9. การที่ผู้หญิงใช้สมองทั้ง 2 ด้านไปพร้อมกันในการทำสิ่งต่าง ๆ ทำให้ผู้หญิงหลายคนมีปัญหาเรื่องมือขวา-มือซ้าย โดยพบว่าผู้หญิงราว 50% นึกไม่ออกว่ามือซ้าย หรือมือขวาถ้าไม่ได้เหลือบตาลงมอง         10. สมองผู้หญิงมีการรับรู้ เข้าใจ การแสดงออกทางสีหน้าท่าทาง จดจำหน้าคนได้ดี รับรู้อารมณ์แสดงออกทางเสียงได้ดี         11. ในสมองมีบริเวณหนึ่งที่เรียกว่า Anterior Cingulate Cortex ซึ่งเป็นส่วนสำคัญต่อการคาดการณ์ การตัดสินใจ การควบคุม และตอบสนองต่อความเครียด ซึ่งผู้หญิงจะมีขนาดของสมองส่วนนี้ใหญ่กว่าผู้ชาย อีกทั้งถูกกระตุ้นได้ง่ายกว่า ผู้หญิงจึงมักมีความกังวลต่อเรื่องต่าง ๆ ได้มากกว่า
         12. จากการสแกนสมองพบว่า บริเวณที่เกี่ยวข้องกับสัญชาตญาณหรือลางสังหรณ์ ในสมองผู้หญิงนั้นมีขนาดใหญ่กว่าและตอบสนองไวกว่าในผู้ชาย คงจะช่วยยืนยันคำกล่าวที่ว่า "ผู้หญิงมีสัญชาตญาณและลางสังหรณ์ดีกว่าผู้ชาย" ได้เป็นอย่างดี

         13. สมองผู้หญิงจะหดเล็กลงในช่วงตั้งครรภ์ แต่ไม่ได้สูญเสียเซลล์สมอง หากมีการเปลี่ยนแปลงในกระบวนการเผาผลาญและเกิดการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างของสมองแทน
         14. ช่วงรอยต่อก่อนเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน (2-9 ปีก่อนหมดประจำเดือน) อาจเป็นช่วงเวลาที่เปราะบางต่อการเกิดอารมณ์ปรวนแปรและหงุดหงิดง่าย เพราะสมองมีความไวของการตอบสนองต่อฮอร์โมนเอสโตรเจน และการรับรู้ความเครียดมากกว่าเดิม
         15. เซลล์สมองของผู้หญิงจะตอบสนองต่อการสื่อสารการพูดมากกว่าผู้ชาย เพราะทำให้สมองหลั่งสารเคมีที่ทำให้รู้สึกเคลิบเคลิ้มแบบเดียวกับความรู้สึกของคนเสพเฮโรอีน

         16. ผู้หญิงควรนอนหลับพักผ่อนมากกว่าผู้ชายเฉลี่ย 20 นาที เพื่อให้สมองฟื้นฟูและซ่อมแซมตัวเอง เนื่องจากผู้หญิงใช้สมองส่วนที่ควบคุมการทำงานหลายอย่างในเวลาเดียวกัน
         17. ผู้หญิงมีความสามารถในการจับโกหกได้เก่ง ด้วยสมองของผู้หญิงจะวิเคราะห์การแสดงออกทางสีหน้า และภาษาท่าทางที่แสดงออกมากกว่าถ้อยคำที่พูดออกมา
         18. ผู้หญิงมีประสิทธิภาพการได้ยินดีกว่าผู้ชายถึง 2 เท่า เพราะเซลล์ประสาทสมองทั้ง 2 ข้างจะถูกกระตุ้นขณะฟัง จึงทำให้แยกประสาทการรับฟังการสนทนาได้ดีกว่าผู้ชาย
         19. การจิบกาแฟทำให้สมองผู้หญิงกระปรี้กระเปร่าขึ้น เมื่อต้องทำงานร่วมกับผู้อื่น แต่กลับบั่นทอนความสามารถในการจดจำ และการตัดสินใจของผู้ชายช้าลง